Skip to content

ประโยชน์ของโคมไฟฉุกเฉินและป้ายทางออกหนีไฟฉุกเฉิน: ความปลอดภัยที่ขาดไม่ได้ในทุกอาคาร

ทำความรู้จักระบบ Auto-Check

ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น ไฟไหม้ ไฟฟ้าดับ หรือภัยพิบัติอื่น ๆ การหลบหนีจากอาคารอาจเป็นเรื่องที่เสี่ยงและสับสน โดยเฉพาะเมื่อขาดแสงสว่างที่เพียงพอและป้ายบอกทางออกที่ชัดเจน นี่คือเหตุผลที่ โคมไฟฉุกเฉิน และ ป้ายทางออกหนีไฟฉุกเฉิน มีบทบาทสำคัญในการช่วยชีวิตและป้องกันความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน

ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกถึง ประโยชน์ของโคมไฟฉุกเฉินและป้ายทางออกหนีไฟฉุกเฉิน ว่าทำไมทุกอาคารจึงควรติดตั้ง และมาตรฐานสำคัญที่เกี่ยวข้อง


1. ความปลอดภัยและการนำทางในภาวะฉุกเฉิน

1.1 ช่วยให้มองเห็นและลดความตื่นตระหนก

เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับกลางอาคาร ผู้คนอาจเกิดความตื่นตระหนกและเคลื่อนที่อย่างไม่ปลอดภัย โคมไฟฉุกเฉินจะเปิดทำงานโดยอัตโนมัติ ช่วยให้แสงสว่างเพียงพอเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ เช่น การล้ม การชนสิ่งกีดขวาง และการเดินสะเปะสะปะ

1.2 ชี้นำเส้นทางหนีไฟอย่างชัดเจน

ป้ายทางออกหนีไฟฉุกเฉิน ที่มีไฟในตัว จะช่วยนำทางไปยังทางออกที่ปลอดภัยที่สุด ลดโอกาสที่ผู้คนจะติดอยู่ในจุดอันตราย


2. การปฏิบัติตามมาตรฐานและกฎหมาย

2.1 มาตรฐานและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง

ในประเทศไทย มีการกำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับโคมไฟฉุกเฉินและป้ายทางออกหนีไฟฉุกเฉิน ได้แก่

  • มอก. 902 เล่ม 2(22)-2560 ซึ่งเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับโคมไฟฉุกเฉิน 
  • มาตรฐาน วสท. 021004-22 กำหนดข้อกำหนดด้านการออกแบบ ติดตั้ง และบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าแสงสว่างฉุกเฉินและป้ายทางออกหนีไฟฉุกเฉิน 
  • มอก. 1955-2551 กำหนดขีดจำกัดสัญญาณรบกวนวิทยุที่อาจเกิดจากอุปกรณ์ให้แสงสว่างฉุกเฉิน 

2.2 การบังคับใช้ในอาคารประเภทต่าง ๆ

กฎหมายและมาตรฐานเหล่านี้มีผลบังคับใช้กับอาคารประเภทต่าง ๆ เช่น

  • อาคารสำนักงาน
  • ห้างสรรพสินค้า
  • โรงพยาบาล
  • โรงเรียนและมหาวิทยาลัย
  • โรงแรมและที่พักอาศัย
  • โรงงานและสถานประกอบการ

หากไม่ปฏิบัติตาม อาจถูกลงโทษตามกฎหมาย หรืออาคารอาจไม่ได้รับใบอนุญาตให้ดำเนินกิจการ


3. ลดความเสี่ยงในการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน

3.1 ป้องกันการจราจรติดขัดในทางหนีไฟ

การไม่มีแสงสว่างหรือป้ายบอกทางอาจทำให้เกิดความแออัดที่ทางออกฉุกเฉิน นำไปสู่การเหยียบกันและทำให้ผู้คนไม่สามารถหนีออกจากอาคารได้ทันเวลา

3.2 ลดความเสียหายจากเพลิงไหม้

ในกรณีเกิดเพลิงไหม้ โคมไฟฉุกเฉินจะช่วยให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงและเจ้าหน้าที่กู้ภัยสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมองเห็นพื้นที่ที่ต้องเข้าช่วยเหลือ


4. ประหยัดพลังงานและค่าบำรุงรักษา

4.1 เทคโนโลยี LED ประหยัดพลังงาน

ปัจจุบันโคมไฟฉุกเฉินและป้ายหนีไฟมักใช้ เทคโนโลยี LED ที่กินไฟน้อยและมีอายุการใช้งานยาวนาน ช่วยลดต้นทุนค่าไฟและการบำรุงรักษา

4.2 ระบบตรวจสอบอัตโนมัติ

มาตรฐานล่าสุดกำหนดให้โคมไฟฉุกเฉินและป้ายทางออกมีระบบ ตรวจสอบสถานะอัตโนมัติ ที่ช่วยแจ้งเตือนเมื่อแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ หรือมีข้อผิดพลาดในการทำงาน ลดภาระในการตรวจสอบด้วยตนเอง


5. การเลือกติดตั้งและบำรุงรักษา

5.1 การเลือกประเภทโคมไฟฉุกเฉิน

  • แบบคงแสง (Maintained Emergency Light): เปิดตลอดเวลา แม้ไฟฟ้าปกติทำงาน
  • แบบไม่คงแสง (Non-Maintained Emergency Light): ทำงานเฉพาะเมื่อไฟฟ้าดับ
  • แบบผสม (Combined Emergency Light): มีทั้งหลอดไฟฉุกเฉินและหลอดไฟปกติในตัวเดียวกัน

5.2 ตำแหน่งติดตั้งที่เหมาะสม

  • ติดตั้งที่ ประตูทางออก และ บันไดหนีไฟ
  • บริเวณที่อาจเกิดอุบัติเหตุ เช่น โถงทางเดิน และ จุดเชื่อมต่อระหว่างห้อง
  • บริเวณที่มีอุปกรณ์ดับเพลิง เพื่อให้เข้าถึงได้ง่าย

5.3 การบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ

  • ทดสอบการทำงานทุกเดือน โดยปิดไฟฟ้าหลักเพื่อตรวจสอบว่าไฟฉุกเฉินยังคงทำงาน
  • ตรวจสอบแบตเตอรี่ และเปลี่ยนเมื่อพบว่าประสิทธิภาพลดลง
  • ทำความสะอาดโคมไฟและป้ายบอกทาง เพื่อลดฝุ่นที่อาจบดบังแสง


บทสรุป

โคมไฟฉุกเฉินและป้ายทางออกหนีไฟฉุกเฉิน เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญต่อความปลอดภัยของทุกอาคาร ไม่เพียงช่วยให้การอพยพเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนด

การติดตั้งและบำรุงรักษาอย่างถูกต้อง ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน แต่ยังช่วยให้อาคารได้รับการรับรองตามกฎหมาย ลดโอกาสในการถูกปรับหรือถูกระงับการใช้งาน

ดังนั้น อย่ารอให้เกิดอุบัติเหตุแล้วค่อยตระหนักถึงความสำคัญของโคมไฟฉุกเฉินและป้ายทางออกฉุกเฉิน แต่ควรลงมือป้องกันตั้งแต่วันนี้ เพื่อความปลอดภัยของทุกคนในอาคาร