เสียงสัญญาณเตือนไฟไหม้ดังลั่นขึ้นมา แต่กลับไม่มีควัน ไม่มีเปลวไฟ สร้างความตื่นตระหนกตกใจให้ไม่น้อย ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “False Alarm” หรือสัญญาณเตือนที่ผิดพลาด บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึงสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมสัญญาณไฟไหม้ดังเอง พร้อมวิธีแก้ไขเบื้องต้นและวิธีป้องกันเพื่อความปลอดภัยในอาคาร วันนี้ Sunny Emergency Light ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย จะมาให้ความรู้ในเรื่องนี้กัน
สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อสัญญาณเตือนไฟไหม้ดัง
สิ่งที่สำคัญที่สุดเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณเตือนไฟไหม้ดังเอง คือ “ห้ามประมาท” แม้ว่า 9 ใน 10 ครั้งอาจเป็นแค่การเตือนที่ผิดพลาด แต่ชีวิตและทรัพย์สินของเราอาจแขวนอยู่บนความผิดพลาดเพียงครั้งเดียว ดังนั้น เมื่อเสียงเตือนดังขึ้น ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้
1. ตรวจสอบหาควันและไฟไหม้จริงก่อนเสมอ
ก่อนจะสรุปว่าเป็น False Alarm, สิ่งแรกที่ต้องทำคือการตรวจสอบ “ทันที” ให้รีบเดินสำรวจรอบๆ บริเวณที่ติดตั้งอุปกรณ์ และบริเวณอื่นๆ ในบ้านหรืออาคาร
- มองหา สังเกตหาเปลวไฟ หรือกลุ่มควันไฟที่ลอยอยู่
- ดมกลิ่น ใช้จมูกดมกลิ่นควันไฟ กลิ่นไหม้ หรือกลิ่นพลาสติกไหม้
- สัมผัส ใช้หลังมือสัมผัสบานประตูอย่างระมัดระวัง (ห้ามใช้ฝ่ามือ) เพื่อตรวจสอบว่ามีความร้อนสูงผิดปกติหรือไม่
หากพบสัญญาณของไฟไหม้จริง แม้เพียงเล็กน้อย ให้ถือว่าเป็นเหตุฉุกเฉินจริงทันที ให้ปฏิบัติตามแผนอพยพของอาคาร อพยพทุกคนออกจากพื้นที่ และรีบโทรศัพท์แจ้งเหตุฉุกเฉินที่หมายเลข 199 โดยเร็วที่สุด อย่าเสียเวลาพยายามหาสาเหตุของสัญญาณไฟไหม้ดังเองอีกต่อไป
2. เมื่อมั่นใจว่าปลอดภัยและไม่มีไฟไหม้
หากคุณตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนทุกจุดแล้ว และมั่นใจ 100% ว่าไม่มีสัญญาณของอัคคีภัย (ไม่มีควัน, ไม่มีกลิ่น, ไม่มีความร้อน) ให้รีบแจ้งคนอื่นๆ ในบ้านหรือในอาคารให้ทราบทันทีว่าเป็นสัญญาณไฟไหม้ดังเองที่ผิดพลาด เพื่อลดความตื่นตระหนกและป้องกันการอพยพโดยไม่จำเป็น จากนั้นจึงค่อยไปสู่ขั้นตอนการหาสาเหตุและวิธีแก้ไขในลำดับต่อไป
7 สาเหตุยอดฮิต สัญญาณไฟไหม้ดังเองเกิดจากอะไร
หลายคนอาจคิดว่า สัญญาณเตือนไฟไหม้ดังเองเกิดจากอุปกรณ์รวนหรือเสีย แต่ความจริงแล้ว สาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจาก “สิ่งกระตุ้น” ที่มีลักษณะคล้ายควันไฟจนทำให้เซนเซอร์ทำงานผิดพลาด หรือเกิดจากการบำรุงรักษาที่ไม่เหมาะสม เรามาดูกันว่า 7 สาเหตุหลักๆ มีอะไรบ้าง
1. ฝุ่นละอองและใยแมงมุม
นี่คือสาเหตุคลาสสิกที่หลายคนมองข้าม เมื่อฝุ่นละออง, หยากไย่, หรือใยแมงมุมเข้าไปสะสมในช่องของตัวตรวจจับควัน (Smoke Detector) หนาขึ้นเรื่อยๆ มันจะไปบดบังหรือรบกวนการทำงานของเซนเซอร์
- ในรุ่น Photoelectric (ใช้ลำแสง) ฝุ่นที่เกาะจะสะท้อนลำแสงอินฟราเรดในตัวเครื่อง คล้ายกับที่ควันไฟทำ ทำให้เซนเซอร์ “เข้าใจผิด” ว่ามีควันไฟ
- ในรุ่น Ionization (ใช้ประจุ) ฝุ่นที่หนาพอจะไปขัดขวางการเดินทางของประจุไอออนในช่องตรวจจับ ทำให้เกิด สัญญาณไฟไหม้ดังเอง ได้
2. ควันจากการทำอาหารหรือไอน้ำ
เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดในบ้านและคอนโด โดยเฉพาะตัวตรวจจับควันที่ติดตั้งใกล้กับห้องครัวหรือห้องน้ำมากเกินไป
- ควันทำอาหาร ควันหนาๆ จากการทำอาหารประเภทปิ้ง, ย่าง, ทอด หรือแม้แต่การอุ่นอาหารในเตาอบจนไหม้เล็กน้อย สามารถลอยไปกระตุ้นเซนเซอร์ให้ทำงานได้
- ไอน้ำ ไอน้ำร้อนๆ ที่มีความหนาแน่นสูงจากการอาบน้ำอุ่น, การต้มน้ำ, หรือการใช้เครื่องทำความชื้น สามารถลอยเข้าไปควบแน่นในตัวอุปกรณ์ และถูกเซนเซอร์ตีความว่าเป็นควันไฟได้เช่นกัน
3. แมลงขนาดเล็ก
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า มด, แมงมุมตัวเล็ก, หรือแมลงอื่นๆ ที่มีขนาดเล็กพอจะไชเข้าไปในช่องระบายอากาศของตัวตรวจจับได้ ก็เป็นอีกสาเหตุของสัญญาณเตือนไฟไหม้ดังเองเมื่อพวกมันคลานผ่านเซนเซอร์ หรือทำรังอยู่ภายใน อุปกรณ์จะตรวจจับการเคลื่อนไหวหรือสิ่งกีดขวางนั้นและตีความว่ามีอนุภาคของควันไฟกำลังบดบังเซนเซอร์อยู่
4. แบตเตอรี่อ่อน (เสียงดังติ๊ดๆ หรือดังเป็นช่วงๆ)
นี่คือจุดที่คนสับสนมากที่สุด ต้องแยกแยะให้ออกระหว่าง “เสียงเตือนภัย (Alarm)” ที่ดังยาวต่อเนื่อง (เช่น ปี๊บ-ปี๊บ-ปี๊บ) กับ “เสียงเตือนแบตอ่อน (Low Battery Chirp/Beep)”
- เสียงเตือนแบตอ่อน มักจะดัง “ติ๊ด!” สั้นๆ เพียงหนึ่งครั้ง แต่ดังซ้ำๆ เป็นระยะห่างๆ (เช่น ทุก 1-2 นาที)
- เสียง “ติ๊ดๆ” นี้ ไม่ใช่สัญญาณไฟไหม้ดังเองแต่เป็นการแจ้งเตือนว่าแบตเตอรี่สำรองในตัวอุปกรณ์ใกล้หมดและต้องการให้คุณเปลี่ยนใหม่ มักจะดังตอนกลางคืนบ่อยๆ เพราะอุณหภูมิที่เย็นลงจะทำให้แรงดันไฟในแบตเตอรี่ตกลงจนถึงจุดที่เซนเซอร์ตรวจจับได้
5. อุปกรณ์เก่าหรือเสื่อมสภาพ
อุปกรณ์ตรวจจับควันทุกชนิดมี “วันหมดอายุ” ไม่ใช่อุปกรณ์ที่ซื้อครั้งเดียวใช้ได้ตลอดชีวิต โดยทั่วไปมีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 8-10 ปีนับจากวันที่ผลิต (สามารถดูวันที่ผลิตหรือ “Replace by” ได้ที่ตัวอุปกรณ์)
เมื่อใช้งานไปนานๆ เซนเซอร์ภายในจะเริ่มเสื่อมสภาพ ความไว (Sensitivity) อาจผิดเพี้ยนไป ทำให้มันอาจจะ “ไวเกินไป” จนเกิดสัญญาณเตือนไฟไหม้ดังเองแม้มีฝุ่นเพียงเล็กน้อย หรือในทางกลับกันคืออาจจะ “ช้าเกินไป” หรือไม่ดังเลยแม้มีควันจริง ซึ่งอันตรายกว่ามาก
6. ความชื้นสูง หรือการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิกระทันหัน
การติดตั้งตัวตรวจจับในบริเวณที่มีความชื้นสัมพัทธ์สูงมากๆ เช่น หน้าห้องน้ำที่ไม่มีพัดลมระบายอากาศ, ในโรงรถ, หรือห้องใต้ดินที่อับชื้น หรือการติดตั้งใกล้กับช่องแอร์ที่เย็นจัด หรือฮีตเตอร์ที่ร้อนจัด อาจทำให้เกิดการควบแน่นของไอน้ำเป็นหยดเล็กๆ ภายในตัวอุปกรณ์ ซึ่งส่งผลรบกวนการทำงานของแผงวงจรและเซนเซอร์ ทำให้เกิด สัญญาณไฟไหม้ดังเอง ได้
7. ปัญหาที่ระบบหรือการเดินสายไฟ
สำหรับระบบเตือนอัคคีภัยขนาดใหญ่ในอาคาร (Addressable or Conventional System) ที่เชื่อมต่ออุปกรณ์หลายตัวเข้าด้วยกัน การที่สัญญาณเตือนไฟไหม้ดังเองอาจมีสาเหตุที่ซับซ้อนกว่า เช่น
- การเดินสายไฟที่หลวม, ชำรุด, หรือเกิดการลัดวงจรในบางจุด
- ความผิดปกติที่ตู้ควบคุมหลัก (Fire Alarm Control Panel – FACP)
- การกระชากของกระแสไฟฟ้า (Power Surges)
- ซึ่งกรณีเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยช่างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในการตรวจสอบและแก้ไขเท่านั้น

วิธีแก้ไขเบื้องต้น เมื่อสัญญาณเตือนไฟไหม้ดังเอง
เมื่อคุณมั่นใจแล้วว่าไม่มีเหตุไฟไหม้จริง และพอจะคาดเดาสาเหตุของ สัญญาณไฟไหม้ดังเอง ได้แล้ว (เช่น ทำอาหาร) นี่คือ 4 วิธีแก้ไขเบื้องต้นที่คุณสามารถทำได้ทันทีเพื่อหยุดเสียงที่น่ารำคาญนั้น
1. ปิดเสียงชั่วคราว (ปุ่ม Hush / Silence)
บนตัวตรวจจับควันส่วนใหญ่ จะมีปุ่มที่เรียกว่า “Hush” หรือ “Silence” (บางทีก็เป็นปุ่ม Test/Hush ในปุ่มเดียว) หาก สัญญาณเตือนไฟไหม้ดังเอง จากการทำอาหาร คุณสามารถกดปุ่มนี้เพื่อ “ปิดเสียงชั่วคราว” ได้
- ระบบจะเงียบไปประมาณ 5-10 นาที (แล้วแต่รุ่น) เพื่อให้คุณมีเวลาระบายควัน
- ไฟ LED อาจจะยังคงกะพริบถี่ๆ เพื่อบอกว่ายังอยู่ในโหมดตรวจพบควัน
- หากควันยังหนาแน่นอยู่หลังหมดเวลา ระบบก็จะดังขึ้นอีกครั้ง
ข้อควรระวัง: ห้ามใช้ปุ่มนี้หากคุณยังไม่แน่ใจว่ามีไฟไหม้จริงหรือไม่
2. ระบายอากาศในพื้นที่
หากสาเหตุเกิดจากควันทำอาหารหรือไอน้ำ ให้รีบแก้ไขที่ต้นเหตุทันที โดยการเปิดหน้าต่าง, ประตู, หรือเปิดพัดลมดูดอากาศ เพื่อระบายควันหรือไอน้ำเหล่านั้นออกจากพื้นที่ตัวตรวจจับ เมื่อความหนาแน่นของอากาศกลับสู่ปกติ เซนเซอร์จะทำการรีเซ็ตตัวเอง และเสียงเตือนก็จะหยุดไปเอง
3. ทำความสะอาดตัวตรวจจับ
หากสงสัยว่าเกิดจากฝุ่นหรือใยแมงมุม การทำความสะอาดคือทางออก
- ข้อควรระวัง: ควรอ่านคู่มือและปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตอย่างเคร่งครัด หากเป็นระบบที่ต่อไฟบ้าน (Hardwired) ควรปิดเบรกเกอร์ของระบบก่อน
- วิธีทั่วไป: การใช้เครื่องดูดฝุ่น (ใช้หัวแปรงขนนุ่ม) ดูดเบาๆ รอบๆ ช่องเซนเซอร์ หรือใช้กระป๋องลมอัด (แบบที่ใช้เป่าคอมพิวเตอร์) เป่าไล่ฝุ่น
- ห้าม: ไม่แนะนำให้ใช้ผ้าเปียกเช็ด, ใช้สเปรย์เคมี หรือสเปรย์ฆ่าแมลงใดๆ ฉีดเข้าโดยตรง เพราะอาจทำให้อุปกรณ์เสียหายถาวร
4. เปลี่ยนแบตเตอรี่
ย้ำอีกครั้งว่า หากเป็นเสียง “ติ๊ดๆ” สั้นๆ เป็นระยะ นั่นคือสัญญาณแบตอ่อน ไม่ใช่สัญญาณไฟไหม้ดังเองให้รีบเปลี่ยนแบตเตอรี่ก้อนใหม่ทันที โดยใช้แบตเตอรี่ตามประเภทและขนาดที่ผู้ผลิตกำหนด (เช่น 9V หรือ AA) การปล่อยให้แบตเตอรี่หมดคือความเสี่ยงร้ายแรง เพราะหากเกิดเหตุจริง อุปกรณ์จะไม่ทำงาน
การป้องกันปัญหาสัญญาณไฟไหม้ดังเองในระยะยาว
การแก้ไขปัญหาสัญญาณไฟไหม้ดังเองที่ปลายเหตุเป็นเรื่องที่น่าปวดหัว การป้องกันและบำรุงรักษาเชิงรุก (Proactive Maintenance) จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพื่อความปลอดภัยในระยะยาว และสร้างความมั่นใจว่าอุปกรณ์จะทำงานเมื่อเราต้องการมันจริงๆ
ตรวจสอบและทำความสะอาดเป็นประจำ
- ทำความสะอาด กำหนดตารางทำความสะอาดตัวตรวจจับควันทุกตัวในบ้านหรืออาคาร อย่างน้อยทุก 6 เดือน (หรือบ่อยกว่านั้นหากอยู่ในพื้นที่ฝุ่นเยอะ หรือมีการก่อสร้าง) ด้วยวิธีที่กล่าวไปข้างต้น
- ทดสอบ ควรทดสอบปุ่ม Test เดือนละครั้ง โดยการกดปุ่ม “Test” ค้างไว้ 3-5 วินาที จนได้ยินเสียง Alarm ดังขึ้น แล้วปล่อย เพื่อให้มั่นใจว่าระบบเสียงและแบตเตอรี่ยังทำงานปกติ
เปลี่ยนแบตเตอรี่ทุกปี
อย่ารอให้แบตเตอรี่อ่อนจนเกิดเสียงเตือน “ติ๊ดๆ” ที่น่ารำคาญตอนกลางดึก ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยแนะนำให้เปลี่ยนแบตเตอรี่ในตัวตรวจจับควัน “ทุกปี” (สำหรับรุ่นที่เปลี่ยนแบตได้) ตั้งเป็นกฎเลยว่า “เปลี่ยนแบตเตอรี่ทุกครั้งที่ถึงวันเกิด” หรือ “ทุกวันปีใหม่” เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีไฟสำรองพร้อมใช้งานเสมอ
ติดตั้งในตำแหน่งที่เหมาะสม
นี่คือข้อผิดพลาดที่พบบ่อย การติดตั้งอุปกรณ์ผิดตำแหน่งคือบ่อเกิดของสัญญาณเตือนไฟไหม้ดังเองกฎเหล็กจาก NFPA (National Fire Protection Association) แนะนำว่า
- ควรติดตั้งห่างจากห้องครัว หรืออุปกรณ์ทำอาหาร อย่างน้อย 10 ฟุต (ประมาณ 3 เมตร) เพื่อป้องกันควันจากการทำอาหาร
- ควรติดตั้งห่างจากประตูห้องน้ำ หรือบริเวณที่มีไอน้ำ อย่างน้อย 3 ฟุต (ประมาณ 1 เมตร)
- ไม่ติดตั้งในจุดที่ลมแอร์หรือพัดลมเพดานเป่าโดนโดยตรง เพราะลมจะพัดควันหนีจากตัวตรวจจับ
เปลี่ยนตัวตรวจจับใหม่เมื่อหมดอายุ
ดังที่กล่าวไป อุปกรณ์มีอายุขัย 8-10 ปี ให้ตรวจสอบวันที่ผลิต (Date of Manufacture) ที่ด้านหลังอุปกรณ์ และตั้งค่าแจ้งเตือนในปฏิทินของคุณไว้ เมื่อครบกำหนด ควรเปลี่ยนตัวใหม่ทันที แม้ว่ามันจะยังดูปกติและทดสอบผ่านก็ตาม เพราะเราไม่สามารถไว้ใจเซนเซอร์ที่เสื่อมสภาพแล้วได้ นี่คือการลงทุนเพื่อความปลอดภัยที่คุ้มค่าที่สุด
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสัญญาณเตือนไฟไหม้ดังเอง
สัญญาณไฟไหม้ดังเองตอนกลางคืน เกิดจากอะไร
หากเป็นเสียงเตือนดังยาว อาจเกิดจากแมลงไชเข้าไป หรือความชื้นที่เพิ่มขึ้นตอนกลางคืน แต่หากเป็นเสียง ‘ติ๊ดๆ’ สั้นๆ เป็นระยะ สาเหตุหลักคือแบตเตอรี่อ่อน (อุณหภูมิที่ลดลงตอนกลางคืนจะทำให้แรงดันแบตเตอรี่ตกลงจนถึงจุดแจ้งเตือน)
สัญญาณไฟไหม้ดัง ‘ติ๊ดๆ’ สั้นๆ แก้ยังไง?
นั่นคือเสียงเตือนแบตเตอรี่อ่อน (Low Battery Chirp) ไม่ใช่สัญญาณไฟไหม้ ให้รีบเปลี่ยนแบตเตอรี่ก้อนใหม่ทันที
ถอดถ่านสัญญาณเตือนไฟไหม้ที่ดังเองออกเลยได้ไหม
ไม่ควรทำอย่างยิ่ง! นั่นคือการกระทำที่อันตรายที่สุด เพราะหากเกิดไฟไหม้จริงจะไม่มีอะไรเตือนคุณ การปิดเสียงชั่วคราว (Hush) หรือแก้ที่สาเหตุ (เช่น ระบายควัน) เป็นวิธีที่ถูกต้อง หากแก้ไม่หายจริงๆ ควรเรียกช่าง
ต้องเปลี่ยนตัวตรวจจับควันบ่อยแค่ไหน
โดยทั่วไป ผู้ผลิตแนะนำให้เปลี่ยนตัวตรวจจับควัน (Smoke Detector) ทั้งตัว ทุกๆ 8-10 ปี นับจากวันที่ผลิต แม้ว่าจะยังทำงานปกติก็ตาม เพราะเซนเซอร์จะเสื่อมสภาพตามกาลเวลา

สรุปบทความ
โดยสรุป ปัญหาสัญญาณไฟไหม้ดังเองนั้น แม้จะสร้างความน่ารำคาญ แต่ส่วนใหญ่มีที่มาที่ไปและสามารถแก้ไขได้ด้วยการบำรุงรักษาที่ถูกต้อง สิ่งสำคัญที่สุดคือ แม้จะรำคาญแค่ไหน “ห้ามถอดแบตเตอรี่หรือถอดอุปกรณ์ออกเด็ดขาด” เพราะนั่นคืออุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่จะช่วยชีวิตคุณและครอบครัวในยามฉุกเฉิน หากคุณได้ตรวจสอบและแก้ไขตามวิธีเบื้องต้นแล้ว แต่สัญญาณเตือนไฟไหม้ดังเองยังคงไม่หยุด นั่นอาจเป็นสัญญาณของปัญหาระบบที่ซับซ้อน หรืออุปกรณ์ที่เสื่อมสภาพ ควรเรียกช่างผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบทันที
และในวินาทีที่เกิดเหตุอัคคีภัยจริง นอกจากสัญญาณเตือนไฟไหม้แล้ว อุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้เลยคือ “โคมไฟฉุกเฉิน” และ “ป้ายทางออกฉุกเฉิน” ที่จะส่องสว่างนำทางคุณไปยังทางหนีไฟ แม้ในภาวะที่ไฟฟ้าดับและเต็มไปด้วยกลุ่มควัน Sunny Emergency Light เราคือผู้เชี่ยวชาญด้านระบบไฟส่องสว่างฉุกเฉินและป้ายทางหนีไฟที่ได้มาตรฐานสากล เราพร้อมให้บริการและให้คำปรึกษาเพื่อความปลอดภัยสูงสุดในอาคารของคุณ
โดยเฉพาะป้ายทางหนีไฟ รุ่น SUNNY SL Series 6 ที่ออกแบบมาเพื่อความชัดเจนและทนทานในทุกสภาวะฉุกเฉิน
- มีระบบ Auto Test ทดสอบ อัตโนมัติทุก 1 เดือน 60 วินาที, ทุก 1 ปี 120 นาที พร้อมเปิด-ปิด ฟังก์ชันด้วยรีโมท
- การควบคุมการทดสอบระยะไกลด้วย (Remote Test)
- ระบบการชาร์จ นวัตกรรมใหม่ (3 Steps Charger System)
- ระบบหยุดการทำงานแบตเตอรี่อัตโนมัติ (Low Voltage cut-off)
- แจ้งเตือนทุกครั้งเมื่อระบบได้ทำการทดสอบแบตเตอรี่อัตโนมัติ
- แจ้งเตือนการชาร์จแบตเตอรี่เกิดปัญหา (Charging Fail) LED กระพริบ 4 ครั้ง ทุกๆ 15 วินาที
- ระบบประหยัดพลังงาน ECO โหมด ประหยัดพลังงานขณะ Standby ประมาณ 50%
สนใจสั่งซื้อสินค้าออนไลน์จาก SUNNY ได้ที่
- ร้านค้า ShopeeMall บน Shopee
- ร้านค้า LazMall บน LAZADA
- ร้านค้า NocNoc บน NocNoc
- Line Official @SunnyThailand
- Email [email protected]
หรือเลือกซื้อสินค้าผ่านร้านโมเดิร์นเทรดอย่าง ไทวัสดุ โฮมโปร เมกะโฮม Bean & Beyond หรือ ตัวแทนจำหน่ายไฟฉุกเฉิน SUNNY ใกล้บ้านคุณ และหากคุณมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับโคมไฟฉุกเฉิน และอุปกรณ์อื่น ๆ สามารถติดต่อเราได้ที่ 02-378-1034



