ในยุคปัจจุบันที่เราต้องพึ่งพาไฟฟ้าในชีวิตประจำวัน การเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุไฟฟ้าดับจึงเป็นอะไรที่เลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในตึกหรืออาคาร ที่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จำนวนมาก รวมไปถึงชีวิตผู้คน อุปกรณ์ที่ดูแลความปลอดภัยในเรื่องนี้จึงจำเป็นอย่างมาก เดี๋ยววันนี้เรา Sunny จะมาอธิบายถึงความแตกต่างของไฟฉุกเฉิน และอุปกรณ์สำรองไฟ ว่าสรุปแล้วทำหน้าที่ได้คล้ายกันไหม หรือมีอะไรบ้างที่แตกต่างกัน
หลักการทำงานไฟฉุกเฉิน กับ เครื่องสำรองไฟ เป็นอย่างไร
เมื่อไฟดับ เราต่างต้องการแสงสว่าง และพลังงานไฟฟ้าสำรองเพื่อให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้ ไฟฉุกเฉินและเครื่องสำรองไฟ เป็นอุปกรณ์สองชนิดที่มักถูกนึกถึงในสถานการณ์เช่นนี้ แม้จะมีจุดประสงค์คล้ายกันคือการให้พลังงานสำรอง แต่วิธีการทำงาน และประโยชน์ใช้สอยของทั้งสองนั้นแตกต่างกันอย่างน่าสนใจ เรามาทำความเข้าใจกลไกการทำงานของอุปกรณ์ทั้งสองชนิดนี้กันดีกว่า
หน้าที่ของไฟฉุกเฉิน
ไฟฉุกเฉินถูกออกแบบมาเพื่อให้แสงสว่างในยามที่ไฟฟ้าดับ โดยจะทำงานโดยอัตโนมัติทันทีที่ตรวจจับได้ว่าไฟฟ้าในอาคารดับลง และไฟฉุกเฉินส่วนใหญ่จะใช้แบตเตอรี่ไฟฉุกเฉินเป็นแหล่งพลังงานสำรอง ซึ่งจะถูกชาร์จไว้ตลอดเวลาเมื่อมีไฟตามปกติ และจะพร้อมจ่ายไฟให้หลอดไฟส่องสว่างทันทีที่ไฟดับ โดยทั่วไปไฟฉุกเฉินจะสามารถให้แสงสว่างได้นานประมาณ 2-3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความจุของแบตเตอรี่
หน้าที่ของเครื่องสำรองไฟ
เครื่องสำรองไฟหรือ UPS (Uninterruptible Power Supply) มีหน้าที่หลักในการจ่ายไฟฟ้าสำรองให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์เมื่อเกิดไฟดับ โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่ต้องการความต่อเนื่องในการทำงาน เช่น คอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์ อุปกรณ์เครือข่าย ฯลฯ เครื่องสำรองไฟจะมีแบตเตอรี่ไฟฉุกเฉินภายใน และวงจรแปลงไฟ ทำให้สามารถจ่ายไฟฟ้ากระแสสลับได้เหมือนไฟบ้านปกติ แต่จะมีระยะเวลาที่จำกัด โดยทั่วไปจะสามารถจ่ายไฟได้ตั้งแต่ไม่กี่นาทีไปจนถึงหลายชั่วโมง ที่จะขึ้นอยู่กับขนาด และประสิทธิภาพของเครื่อง
ไฟฉุกเฉิน จ่ายไฟได้เหมือนเครื่องสำรองไฟไหม
คำตอบคือไม่เหมือนกัน เนื่องจากไฟฉุกเฉินและเครื่องสำรองไฟมีความแตกต่างกันในด้านการจ่ายไฟ ดังนี้
- ไฟฉุกเฉินส่วนใหญ่จะจ่ายไฟกระแสตรง (DC) ให้กับหลอดไฟ LED ที่ติดตั้งมาพร้อมกับตัวเครื่อง จึงไม่สามารถนำไปใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไปได้
- เครื่องสำรองไฟสามารถจ่ายไฟกระแสสลับ (AC) 220 โวลต์ได้เหมือนไฟบ้านปกติ จึงสามารถนำไปใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ได้ แต่มีข้อจำกัดด้านกำลังไฟและระยะเวลาการใช้งาน
ดังนั้น หากต้องการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ นอกเหนือจากหลอดไฟ เครื่องสำรองไฟจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่าไฟฉุกเฉิน
ประโยชน์ของไฟฉุกเฉินมีแค่ส่องสว่างรึเปล่า
แม้ว่าหน้าที่หลักของไฟฉุกเฉินคือการให้แสงสว่างในยามฉุกเฉิน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไฟฉุกเฉินยังมีประโยชน์อื่น ๆ อีกหลายด้านที่หลายคนยังไม่รู้ มาดูกันว่าไฟฉุกเฉินมีประโยชน์อะไรบ้าง นอกเหนือจากการส่องสว่าง
แจ้งเตือนไฟไหม้
ไฟฉุกเฉินบางรุ่นมาพร้อมกับระบบตรวจจับควัน และแก๊ส สามารถทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์แจ้งเตือนอัคคีภัยได้ในตัว เมื่อตรวจพบควันหรือแก๊สผิดปกติ ไฟฉุกเฉินจะส่งเสียงเตือนดังเพื่อแจ้งให้ผู้อยู่อาศัยทราบถึงเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับอาคาร และผู้ใช้งานได้อีกระดับหนึ่ง
สั่งการเปลี่ยนทิศทางการอพยพผ่านป้ายทางออกฉุกเฉิน
ไฟฉุกเฉินรุ่นใหม่หลายรุ่น ไม่เพียงแต่ให้แสงสว่างเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมกับระบบสั่งการทิศทางอพยพอัจฉริยะผ่านป้ายทางออกฉุกเฉิน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่มีประโยชน์อย่างมากในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาคารขนาดใหญ่ หรือสถานที่ที่มีความซับซ้อน ระบบนี้จะเป็นไฟ LED ส่องสว่างควบคู่กับป้ายทางออกฉุกเฉินที่สามารถเปลี่ยนทิศทางได้ตามสถานการณ์ เพื่อช่วยให้อพยพไปยังเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุด
สรุปบทความ
จะเห็นได้ว่าโคมไฟฉุกเฉิน และเครื่องสำรองไฟมีความแตกต่างกันทั้งในด้านหลักการทำงาน และการใช้งาน ไฟฉุกเฉินเน้นการให้แสงสว่างและความปลอดภัยในอาคาร ในขณะที่เครื่องสำรองไฟมุ่งเน้นการจ่ายไฟให้อุปกรณ์ไฟฟ้าทำงานได้อย่างต่อเนื่อง การเลือกใช้งานจึงขึ้นอยู่กับความต้องการ และลักษณะการใช้งานของแต่ละบุคคล หรือองค์กรเป็นหลัก แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งไฟฉุกเฉินและเครื่องสำรองไฟ ต่างก็มีความสำคัญในการเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ไฟฟ้าดับ การมีอุปกรณ์ทั้งสองอย่างไว้ใช้งาน จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเพื่อความปลอดภัยภายในอาคาร