Skip to content

Articles

เหตุผลที่ควรติดตั้งไฟฉุกเฉินทั่วบ้าน

3 เหตุผลที่ควรติดตั้งไฟฉุกเฉินในบ้าน เพื่อความปลอดภัยของผู้สูงอายุ

สำหรับคนไทยแล้ว อาจจะมองว่าการติดตั้งไฟให้ทั่วทั้งบริเวณบ้าน หรือการติดตั้งไฟอัตโนมัติที่เปิด-ปิดอัตโนมัติในตอนกลางคืนถือว่าเพียงพอ แต่จริง ๆ แล้ว นอกเหนือไปจากการติดตั้งไฟให้ทั่วทุกจุดของบริเวณบ้าน หรือการติดตั้งไฟอัตโนมัติแล้ว เราอยากแนะนำให้คุณรู้จักกับ “ไฟฉุกเฉิน” ที่นิยมติดในต่างประเทศ เพราะอุปกรณ์ชนิดนี้ เป็นอีกหนึ่งระบบรักษาความปลอดภัย ที่จะช่วยสร้างความอุ่นใจให้แก่เจ้าของบ้านและผู้อยู่อาศัยได้มากทีเดียว 5 จุดในบ้านที่ควรมีไฟฉุกเฉิน สำหรับผู้ที่ต้องการจะเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ตัวเอง หรือผู้อาศัยในบ้าน แต่ไม่รู้ว่าจะต้องเลือกติดตั้งไฟฉุกเฉินในบ้านจุดไหนดี เราได้นำเอา 5 จุดที่เหมาะแก่การติดตั้ง จุดที่จะเป็นประโยชน์อย่างมาก หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอย่างไฟฟ้าดับ, ไฟฟ้าลัดวงจร, ไฟกระชาก หรือแม้แต่ยามที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่าง “ไฟไหม้” 5 จุดนี้ คือจุดติดตั้งที่เราขอแนะนำ ห้องครัว จุดแรกที่แนะนำว่าควรมีการติดตั้ง โคมไฟฉุกเฉิน เอาไว้เพื่อความปลอดภัย คือบริเวณของห้องครัว เนื่องจากห้องครัวเป็นห้องที่มีอุปกรณ์อันตรายต่าง ๆ อยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นเตาแก๊ส มีด หรือหากบ้านไหนมีประตูหลังบ้านอยู่ที่บริเวณห้องครัวด้วย การติดตั้งไฟฉุกเฉินเอาไว้ สามารถป้องกันอันตรายจากการโดนโจรขึ้นบ้านได้ โถงรับแขกชั้นล่าง เมื่อไหร่ก็ตามที่ไฟฟ้าเกิดการขัดข้อง ผู้อาศัยในบ้านมักที่จะมารวมตัวกันอยู่ที่บริเวณโถงรับแขกชั้นล่างอยู่เสมอ ดังนั้นบริเวณโถงรับแขก เป็นอีกหนึ่งบริเวณที่ควรติดไฟฉุกเฉินเอาไว้ เพื่อการมองเห็น หรือเพื่อความสะดวกในการอยู่ร่วมกัน ห้องนอน หากจะเลือกติดไฟฉุกเฉินในบ้านที่บริเวณห้องนอน เราแนะนำเลือกติดไว้ที่ห้องนอนใหญ่ หรือห้องนอนของหัวหน้าครอบครัว ที่อาจมีสิ่งของสำคัญเก็บเอาไว้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการ จะได้สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที บันไดบ้าน เมื่อเกิดเหตุไฟดับ สิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายและเกิดขึ้นได้บ่อย ๆ คือ “อุบัติเหตุ” เนื่องจากความมืด อาจทำให้ผู้อาศัยในบ้านไม่สามารถใช้ชีวิตได้สะดวก และจุดที่มักจะเกิดอุบัติเหตุบ่อยมากที่สุด ก็คงไม่พ้นบันไดบ้าน การติดตั้งไฟฉุกเฉินในบ้านที่บริเวณบันได จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้สูง ลานจอดรถหรือโรงจอดรถ สำหรับบ้านไหนที่มีการเก็บอุปกรณ์ช่างเอาไว้ที่บริเวณลานจอดรถ หรือบริเวณโรงรถ แนะนำว่าควรติดตั้งไฟฉุกเฉินเอาไว้ที่บริเวณนั้น ๆ ด้วย เพื่อให้สามารถหาอุปกรณ์ได้ง่ายมากขึ้น ในยามที่ไฟฟ้าดับลง 3 เหตุผลที่ควรติดตั้งไฟฉุกเฉินในบ้าน นอกจาก 5 จุดแนะนำติดตั้งไฟฉุกเฉินในบ้าน ที่เราได้นำเอามาฝากในข้างต้นแล้ว เรายังได้นำเอา 3 เหตุผลที่ควรมีหรือควรติดตั้งไฟฉุกเฉิน มาเผื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ สำหรับผู้ที่กำลังลังเลอยู่ว่าจะติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยรูปแบบนี้ดีไหม นี่คือ 3 เหตุผลดี ๆ ที่เรานำมาฝากเพิ่มเติม 1. เพื่อความปลอดภัย ไฟฉุกเฉินจะเป็นไฟที่ทำงานอัตโนมัติทันที เมื่อไฟฟ้าในบ้านดับลง

Read More »
รวมระบบรักษาความปลอดภัยในบ้าน

เพิ่มความปลอดภัยด้วย 7 ระบบรักษาความปลอดภัยในบ้าน

ถึงแม้จะอยู่ในบ้าน แต่เรื่องความปลอดภัย ก็ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามโดยเด็ดขาด และหากจะให้พูดอย่างถูกต้องแล้ว “ระบบรักษาความปลอดภัยในบ้าน” เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญมากเป็นอันดับหนึ่งเสียด้วยซ้ำ เพราะอุบัติเหตุ คือสิ่งไม่คาดคิดที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และยิ่งหากบ้านไหนมีผู้สูงอายุ หรือมีเด็ก ๆ ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับระบบรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษ 7 ระบบรักษาความปลอดภัยในบ้านที่ควรมีไว้ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับทุกคนภายในบ้าน Sunny Emergency Light ได้นำเอา 7 ระบบรักษาความปลอดภัยในบ้านที่แนะนำว่าควรมีติดเอาไว้ นำเอามาฝากเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความปลอดภัยในบ้าน โดยอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เราได้นำเอามาฝากในวันนี้ จะเป็นอุปกรณ์ที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ และช่วยป้องกันการบาดเจ็บและการสูญเสียทรัพย์สินได้ โดยจะมีอะไรบ้างนั้นไปดู 1. ติดตั้งเครื่องตรวจจับควันในบ้าน เหตุการณ์ที่สร้างความสูญเสียได้มากเป็นอันดับต้น ๆ คงจะหนีไม่พ้น “เหตุเพลิงไหม้” ตามบ้านเรือนหรือที่พักอาศัย ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ส่วนใหญ่ มักมาจากการทำอาหาร, การจุดธูปเทียน และอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าช็อต การติดตั้งเครื่องตรวจจับควันในบ้าน หรือเครื่องตรวจจับความร้อนในบ้าน จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดไฟไหม้ได้เป็นอย่างดี 2. ติดตั้งวัสดุกันลื่น การลื่นล้ม การหกล้ม สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย และสามารถเกิดขึ้นได้ในทุก ๆ ที่ ไม่เว้นแม้แต่ภายในบ้านของคุณเอง โดยเฉพาะบริเวณที่เปียก ลื่น หรือมีความมัน หากคุณอยากลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุในรูปแบบนี้ สามารถป้องกันได้ด้วยการติดตั้งวัสดุกันลื่น ตามพื้นที่ต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ อย่างเช่น ห้องน้ำและห้องครัว เป็นต้น 3. ติดตั้งไฟส่องสว่างทั่วบริเวณบ้าน “ไฟ” ถือเป็นหนึ่งในระบบรักษาความปลอดภัยในบ้านที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ เพราะหากบ้านของคุณมีไฟไม่สว่างมากพอ อาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ การโจรกรรม และเสี่ยงอันตรายกับสัตว์เลื้อยคลาน หรือสัตว์ที่มีพิษด้วย เพื่อให้คุณมองเห็นได้ทั่วทั้งบริเวณบ้าน ทุกจุดของบ้านจะต้องมีความสว่างเพียงพอ 4. ติดตั้งโคมไฟฉุกเฉิน เหตุการณ์ไฟฟ้าดับ เป็นเหตุการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้บ่อย และสามารถเกิดขึ้นได้อยู่เสมอ บางครั้งอาจจะต้องรอนานข้ามวันไฟฟ้าถึงกลับมาใช้ได้ และความมืดก็สามารถทำให้อันตรายเกิดขึ้นได้นับไม่ถ้วน ดังนั้น โคมไฟฉุกเฉิน เป็นตัวช่วยอย่างดี ที่จะทำหน้าที่ในยามที่ไฟฟ้าเกิดเหตุขัดข้อง 5. ติดตั้งกล้องวงจรปิดไร้สาย กล้องวงจรปิดเป็นระบบรักษาความปลอดภัยในบ้านที่ในปัจจุบันนี้แทบจะทุกบ้านต้องมีติดเอาไว้ เป็นอุปกรณ์ที่สามารถติดไว้กันขโมย และเอาไว้ตรวจตราในยามที่ไม่มีใครอยู่บ้าน รวมถึงสามารถใช้เป็นอุปกรณ์สอดส่องที่เอาไว้ดูแลผู้คนในบ้านได้ด้วย ในกรณีที่บ้านไหนมีผู้สูงอายุ หากเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ เกิดขึ้น จะสามารถช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที 6. ติดตั้งระบบเฝ้าระวังความปลอดภัย เซนเซอร์ตรวจจับความผิดปกติต่าง ๆ

Read More »
แบตเตอรี่แห้ง มีอายุการใช้งานกี่ปี มีวิธีดูแลอย่างไร

 แบตเตอรี่แบบแห้งคืออะไร อายุการใช้งานกี่ปี มีวิธีดูแลอย่างไรบ้าง

แบตเตอรี่แห้งอายุการใช้งานกี่ปี มีวิธีดูแลรักษาอย่างไร เป็นคำถามที่คนมากมายต้องการรู้คำตอบ โดยเฉพาะผู้ขับขี่รถยนต์ รวมไปถึงผู้ที่ต้องการใช้ในงานไฟสำรองที่ต้องใช้แบตเตอรี่แห้งเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ในบทความนี้ Sunny Emergency Light มีรายละเอียดข้อดีของแบตเตอรี่แห้ง อายุการใช้งาน และวิธีการดูแลรักษามาให้ทุกคนดู แบตเตอรี่แบบแห้งคืออะไร แบตเตอรี่แบบแห้ง คือ แบตเตอรี่ชนิดตะกั่วกรดที่ออกแบบให้มีอิเล็กโทรไลต์เป็นเจลหรือแบบดูดซับ (AGM) ที่ไม่สามารถรั่วไหลได้แม้อยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม เป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับระบบไฟฉุกเฉินและป้ายทางหนีไฟเนื่องจากไม่ต้องการการบำรุงรักษาเป็นประจำ รวมไปถึงรถยนต์และจักรยานยนต์ด้วยเช่นกัน มีความปลอดภัยสูง อายุการใช้งานยาวนาน ไม่มีปัญหาการรั่วไหลของน้ำ Elecrolyte และมีสารเคมีชนิดแห้งที่ช่วยในกระบวนการสร้างกระแสไฟฟ้า และสามารถทนต่อการชาร์จและคายประจุซ้ำได้หลายรอบ จึงเหมาะกับการใช้งานที่ต้องพร้อมทำงานได้ทันทีในกรณีฉุกเฉิน แบตเตอรี่แบบแห้งใช้กับอุปกรณ์ประเภทใดบ้าง แบตเตอรี่แบบแห้งมีกี่ประเภท แบตเตอรี่แห้งมีทั้งหมด 4 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะมีลักษณะและการใช้งานแตกต่างกันไป โดยบางประเภทอาจถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานในงานอุตสาหกรรม และบางประเภทมีการใช้งานภายในบ้าน อาคาร หรือยานพาหนะ 1. แบตเตอรี่แบบแห้ง ประเภทยืดหยุ่น (AGM – Absorbent Glass Mat) แบตเตอรี่แห้งแบบยืดหยุ่น เป็นแบตเตอรี่ที่มีแผ่นใยแก้วคอยดูดซับ Elecrolyte ทำให้มีประสิทธิภาพการชาร์จและสะสมพลังงานได้ดี มักใช้งานในระบบรถยนต์ และระบบพลังงานสำรอง 2. แบตเตอรี่แบบแห้ง ประเภทไฮบริด (AGM Hybrid) แบตเตอรี่แห้งแบบไฮบริด จะประกอบด้วยแผ่น AGM ร่วมกับเซลล์ไฮบริด ซึ่งมีความสามารถในการรับน้ำหนักมากกว่าแบตเตอรี่ AGM ธรรมดา มักใช้ในรถยนต์และเครื่องจักรที่ต้องการการป้องกันการรั่วไหลของน้ำ Elecrolyte สูง 3. แบตเตอรี่แบบแห้งไฟฟ้า สำหรับยานพาหนะ (Starting-Lighting-Ignition, SLI) แบตเตอรี่แห้งที่ใช้ในยานพาหนะเพื่อให้พลังงานในการเริ่มต้นเครื่องยนต์ที่พบบ่อยคือแบตเตอรี่แห้งแบบลิเทียม (Lithium-ion) ซึ่งให้ประสิทธิภาพที่ดีและมีน้ำหนักเบา 4. แบตเตอรี่แบบแห้ง ประเภท SLA (Sealed Lead-Acid Battery) แบตเตอรี่แห้งแบบ SLA เป็นแบตเตอรี่ขนาดเล็ก มักถูกใช้งานในระบบไฟฟ้าสำรอง มีความเสถียรและทนทาน อายุการใช้งานยืนยาว แบตเตอรี่แห้ง มีอายุการใช้งานกี่ปี โดยทั่วไป แบตเตอรี่แบบแห้งจะมีอายุการใช้งานเฉลี่ยประมาณ 4-5 ปี โดยไม่ต้องบำรุงรักษาใด ๆ เมื่อติดตั้งในระบบไฟฉุกเฉินหรือป้ายทางหนีไฟ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความถี่ในการใช้งาน สภาพแวดล้อม และคุณภาพของระบบชาร์จ โดยการใช้งานในอุณหภูมิที่เหมาะสมและการชาร์จที่มีการควบคุมที่ดีจะช่วยยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น

Read More »
การติดตั้งไฟฉุกเฉินที่ถูกต้องในอาคารและโรงงานอุตสาหกรรม

แนะนำมาตรฐานติดตั้งไฟฉุกเฉิน สำหรับอาคารและโรงงานอุตสาหกรรม

ไฟฉุกเฉิน หรือ Emergency Light คืออุปกรณ์ให้แสงสว่างในอาคารเมื่อเกิดเหตุไฟดับ ไฟไหม้ หรือสภาพการมองเห็นต่ำ ซึ่งจะส่องสว่างทันทีหลังจากไฟดับ ทำงานโดยอาศัยไฟฟ้าจากแบตเตอรี่สำรอง นอกจากการติดตั้งไฟฉุกเฉินจะให้ความสว่างกรณีไฟฟ้าดับแล้ว ยังเป็นข้อกำหนดทางกฎหมายเกี่ยวกับมาตรฐานไฟฉุกเฉินที่ต้องยึดถือปฏิบัติตามอีกด้วย โดยเฉพาะในอาคารและโรงงานอุตสาหกรรม การติดตั้งไฟฉุกเฉินสำคัญอย่างไร การติดตั้งไฟฉุกเฉินเป็นสิ่งสำคัญ สามารถช่วยให้ผู้คนที่ตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินสามารถมองเห็น และอพยพออกจากอาคารได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้ ข้อกฎหมายได้มีการกำหนดเป็นมาตรฐานของอุปกรณ์ไฟฉุกเฉิน รวมถึงด้วยตำแหน่งที่ควรติดตั้งไฟฉุกเฉิน ดังนี้ ข้อกฎหมายเกี่ยวกับมาตรฐานติดตั้งไฟฉุกเฉิน ข้อกำหนดทางกฎหมายเกี่ยวกับมาตรฐานติดตั้งไฟฉุกเฉิน กำหนดไว้ดังนี้ ตำแหน่งที่ควรติดตั้งไฟฉุกเฉิน การติดตั้งไฟฉุกเฉินตามมาตรฐาน ควรติดตั้งสูงจากพื้นไม่น้อยกว่า 2 เมตร โดยติดตั้งในตำแหน่งเส้นทางหนีภัย เช่น ประตูทางออก ทางแยก ทางเลี้ยว พื้นต่างระดับ บันไดเลื่อนและทางเลื่อน จุดรวมพลเพื่อการหนีภัยภายในอาคาร ดาดฟ้าและบริเวณพื้นที่รอการหนีภัยทางอากาศ และพื้นที่อื่น ๆ เช่น ห้องน้ำ พื้นที่เปิดโล่งภายในอาคาร จุดติดตั้งอุปกรณ์ดับเพลิง พื้นที่อันตรายเช่นห้องไฟฟ้าเครื่องกล ฯลฯ การพิจารณาเลือกซื้อไฟฉุกเฉินควรเลือกจากอะไร การเลือกซื้ออุปกรณ์ฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นป้ายทางหนีไฟ หรือ ไฟฉุกเฉิน ก็ต้องเลือกที่มีอุปกรณ์ไฟฉุกเฉินที่มีมาตรฐานการรับรองจากสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือ ยิ่งเป็นอาคารใหญ่หรือโรงงานที่มีคนทำงานมากมาย ความปลอดภัยยิ่งต้องเป็นอันดับหนึ่ง รวมถึงฟังก์ชันการทำงานของโคมไฟฟ้าฉุกเฉินที่ต้องตอบโจทย์การใช้งานตามสถานที่ต่าง ๆ 1. ไฟฉุกเฉินมีมาตรฐานที่ดี ไฟฉุกเฉินในอาคารและโรงงานอุตสาหกรรม ควรได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ มอก. ซึ่งเป็นมาตรฐานทั่วไปที่ได้ยึดถือปฏิบัติตามมาอย่างยาวนาน เพื่อความปลอดภัยของคนหมู่มาก  2. ความสองสว่างขั้นต่ำเพื่อการหนีภัย มาตรฐานไฟฉุกเฉินที่ดีต้องมีความส่องสว่างที่เหมาะสม เพื่อให้มองเห็นอันตราย การเปลี่ยนระดับพื้น และทิศทางของเส้นทาง รวมถึงตำแหน่งอุปกรณ์จำเป็นต่างๆ ในสภาวะที่ระบบไฟฟ้าปกติล้มเหลว ระบบไฟฟ้าแสงสว่างฉุกเฉินต้องมีความสว่างเพียงพอ  3. ความจุและชนิดของแบตเตอรี่ แบตเตอรี่ของไฟฉุกเฉิน ต้องสามารถจ่ายไฟไม่ต่ำกว่า 120 นาที มีแรงไฟฟ้าต่ำสุดไม่น้อยกว่า 80% ของแรงดันพิกัดปกติ รวมถึงมีเวลาอัดประจุไม่เกิน 24 ชั่วโมง 4. ระยะเวลาเริ่มทำงานของไฟฉุกเฉิน ไฟฉุกเฉินที่ได้มาตรฐาน ต้องให้แสงสว่างทันทีหรือภายใน 0.5-5 วินาทีหลังไฟฟ้าดับ โดยทั่วไป โคมไฟฟ้าฉุกเฉินที่ติดตั้งในอาคาร ต้องส่องสว่างต่อเนื่อง 90-120 นาที แต่ในกรณีโรงงานโดยเฉพาะโรงงานขนาดใหญ่ จะต้องสามารถส่องสว่างไม่น้อยกว่า 120 นาที สรุปเกี่ยวกับมาตรฐานติดตั้งไฟฉุกเฉิน

Read More »
10 วิธีเพิ่มความปลอดภัยภายในบ้านที่ไม่ควรมองข้าม

10 วิธีเพิ่มความปลอดภัยภายในบ้านที่ไม่ควรมองข้าม

หลายคนคงคิดว่าบ้านเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด ไม่เหมือนกับการออกไปข้างนอกที่ต้องเสี่ยงภัยอันตรายหรือเสี่ยงอุบัติเหตุต่าง ๆ  แต่ความจริงนั้น การอยู่บ้านก็ใช่ว่าจะปลอดภัย อาจเกิดอุบัติเหตุได้ไม่ต่างจากโลกภายนอกเลยหากไม่มีการป้องกันที่ดี เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้าเสื่อมสภาพทำให้ไฟฟ้าลัดวงจร ความปลอดภัยที่หละหลวมเช่นนี้ อาจส่งผลกับทุกชีวิตที่คุณรักรวมถึงตัวคุณเองด้วย ในบทความมนี้ Sunny Emergency Light มี 10 วิธีเพิ่มความปลอดภัยภายในบ้านมาเล่าสู่กันฟัง จะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลย วิธีเพิ่มความปลอดภัยภายในบ้าน 1. การติดตั้งกล้องวงจรปิด วิธีเพิ่มความปลอดภัยภายในบ้านวิธีแรกคือ การติดตั้งกล้องวงจรปิด ซึ่งการติดตั้งกล้องวงจรปิดนั้นสามารถเพิ่มความปลอดภัยในพื้นที่บ้านได้ เปรียบเสมือนหูตาให้เราเมื่อเราไม่อยู่บ้าน และเป็นหลักฐานชั้นดีหากมีการโจรกรรมเกิดขึ้น 2. การติดตั้งเครื่องตรวจจับควัน การติดตั้งเครื่องตรวจจับควัน หรือ Smoke Detector เป็นอีกตัวช่วยหลักที่จะทำให้เกิดความปลอดภัยภายในบ้าน โดยเฉพาะในห้องครัวที่มีการใช้แก๊ส ใช้ไฟฟ้าในการทำอาหาร ซึ่งอันตรายที่ใกล้ตัวที่สุดอาจจะมาในรูปแบบเพลิงไหม้จากการทำอาหาร เมื่อเกิดเพลิงไหม้ Smoke Detector จะสามารถตรวจจับควันไฟ และส่งสัญญาณเตือนภัยไปยังเครื่องรับสัญญาณ ส่งผลให้มีการดับไฟได้ทันท่วงทีก่อนที่ไฟจะลุกลามไปไกล และช่วยลดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินได้อีกด้วย 3. การติดตั้งไฟเพื่อความสว่างและการมองเห็น ความสว่าง เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น อาจเกิดจากแสงในบ้านน้อยเกินไป โดยเฉพาะบริเวณรอบ ๆ บ้าน อย่างสนามหญ้า หรือข้างบ้านที่เต็มไปด้วยสัตว์เลื้อยคลาน อาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได้ ทั้งนี้ การติดตั้งไฟฉุกเฉินที่บ้านก็เป็นอีกสิ่งสำคัญ เพราะถ้าเกิดเหตุไฟดับขึ้นมา คุณจะหายห่วงเรื่องความมืดที่มาพร้อมอันตรายได้เลย 4. การติดตั้งวัสดุกันลื่นในพื้นที่เสี่ยง การสะดุดหรือลื่นล้ม เป็นอุบัติเหตุภายในบ้านที่พบเจอได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะทางไม่ราบเรียบ ทางลาดชัน และพื้นในห้องน้ำที่ลื่นจนเกินไป ซึ่งอาจทำให้สมาชิกภายในบ้านอย่างเด็กเล็กและผู้สูงวัยเกิดอุบัติเหตุลื่นล้มศรีษะฟาดพื้นได้ ดังนั้น การติดตั้งวัสดุกันลื่นในพื้นที่เสี่ยงดังกล่าว จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยภายในบ้านได้อย่างดี 5. ตรวจระบบไฟฟ้าในบ้านกันไฟลัดวงจร คุณอาจจะเคยชินกับการใช้ไฟฟ้าทุกวันจนลืมเช็กความปลอดภัย โดยเฉพาะระบบไฟฟ้า เครื่องตัดไฟ หรือ เบรกเกอร์ ที่ต้องตรวจสอบอยู่เสมอว่ามันยังใช้งานได้อยู่หรือชำรุดไปแล้ว ซึ่งการหมั่นตรวจสอบระบบไฟฟ้าอยู่เสมอนั้น เป็นการป้องกันอันตรายได้ทันท่วงที ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรที่นำมาซึ่งการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน 6. มีอุปกรณ์ดับไฟไว้ที่บ้าน ถังดับเพลิงถือเป็นอุปกรณ์ที่ควรมีติดบ้าน และผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านทุกคนควรศึกษาวิธีการใช้งานให้เข้าใจ เพราะเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ จะสามารถดับไฟที่ลุกลามได้ทันท่วงที อย่างไรก็ตาม คุณต้องหมั่นตรวจสอบสภาพถังดับเพลิงเป็นประจำ รวมถึงเปลี่ยนถ่ายน้ำยาเมื่อครบกำหนดอายุการใช้งาน 7. เก็บของมีคมให้เป็นที่ อุปกรณ์ที่มีปลายแหลมหรือของมีคมต่าง ๆ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุภายในบ้าน โดยเฉพาะกับเด็กหรือผู้สูงอายุที่อาจจะไม่ทันระวัง เผลอหยิบจับของมีคมอย่างมีด กรรไกร และคัตเตอร์ที่วางอยู่ตามจุดต่าง

Read More »
สัญลักษณ์ทางหนีไฟ คืออะไร พร้อมวิธีติดตั้งให้ได้มาตรฐาน

 ป้ายสัญลักษณ์ทางหนีไฟ คืออะไร พร้อมวิธีติดตั้งให้ได้มาตรฐาน

คุณเคยสังเกตไหม ว่าไม่ว่าคุณจะอยู่ในตึกหรืออาคารไหน ก็มักจะมีป้ายสีเขียว ๆ ให้เห็นตามทางเดินอยู่เสมอ ซึ่งบนป้ายที่คุณเห็น อาจจะมีทั้งตัวอักษร “ทางออก” หรือ “EXIT” สัญลักษณ์รูปคนวิ่ง รวมไปถึงลูกศรที่ชี้ไปทางทิศใดทิศหนึ่ง ป้ายที่ว่านั้นก็คือป้ายทางหนีไฟ หรือ สัญลักษณ์ทางหนีไฟนั่นเอง เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับสัญลักษณ์ทางหนีไฟ และการติดตั้งป้ายที่ถูกต้องตามกฎหมายกัน ป้ายสัญลักษณ์ทางหนีไฟ คืออะไร ป้ายทางหนีไฟ หรือ สัญลักษณ์ทางหนีไฟ (Emergency Fire Exit Sign) คือ โคมไฟฟ้าที่มีป้ายแสดงทางออกฉุกเฉินหรือทางหนีภัยโดยส่องสว่างเพื่อบ่งชี้ตำแหน่งทางออกฉุกเฉินหรือเส้นทางอพยพในอาคาร มักมีรูปแบบเป็นป้ายพร้อมข้อความ “ทางออก” หรือ “EXIT” และสัญลักษณ์ทิศทาง ถูกออกแบบให้มองเห็นได้ชัดเจนแม้ในสภาพที่มีควันหนาแน่นหรือมีแสงสว่างน้อย โดยใช้แหล่งจ่ายไฟสำรองจากแบตเตอรี่หรือระบบไฟฉุกเฉินของอาคารเมื่อเกิดไฟดับ ความสำคัญของป้ายสัญลักษณ์ทางหนีไฟ ป้ายทางหนีไฟ หรือ สัญลักษณ์ทางหนีไฟ มีบทบาทสำคัญยิ่งในระบบความปลอดภัยของอาคาร ในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นเพลิงไหม้หรือแผ่นดินไหว การมีป้ายทางหนีไฟที่ชัดเจนและมองเห็นได้ง่ายจะช่วยให้การอพยพเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดการสูญเสียชีวิตได้ มาตรฐานติดตั้งป้ายสัญลักษณ์ทางหนีไฟโดยกรมโยธาธิการและผังเมือง เนื่องจากป้ายทางหนีไฟมีความสำคัญต่อความปลอดภัยของคนหมู่มาก การติดตั้งป้ายในอาคารจึงต้องมีมาตรฐานและมีข้อกำหนดควบคุมโดยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของป้าย ขนาดของป้าย ขนาดสัญลักษณ์ในป้าย รวมไปถึงระยะติดตั้ง ซึ่งจะแบ่งตามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังนี้ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และกรมโยธาธิการและผังเมือง (ยผ.) ในบทความนี้ เราจะมาดูข้อกำหนดการติดตั้งป้ายสัญลักษณ์ทางหนีไฟตามมาตรฐานกรมโยธาธิการและผังเมือง (มยผ.) ที่เรายึดถือปฏิบัติตามกันมานาน 1. รูปแบบป้ายหนีไฟ กรมโยธาธิการและผังเมืองได้กำหนดให้ป้ายประกอบไปด้วย ข้อความทั้งภาษาไทยอย่าง “ทางออก” “ทางหนีไฟ” หรือ “ทางออกหนีไฟ” หรือตัวหนังสือภาษาอังกฤษ “Exit” รวมถึงสัญลักษณ์รูปคนวิ่ง และทิศทางของลูกศร ทั้งนี้ ป้ายต้องให้แสงสว่างที่เพียงพอเพื่อให้ผู้ใช้งานเห็นได้ง่าย 2. ขนาดป้ายหนีไฟ ขนาดทุกด้านของป้ายสัญลักษณ์ทางหนีไฟ ไม่ว่าจะเป็นด้านบน ด้านข้าง ด้านซ้ายและขวา จะต้องห่างจากตัวหนังสือและสัญลักษณ์บนป้ายไม่น้อยกว่า 25 มิลลิเมตร 3. ขนาดป้ายสัญลักษณ์ทางหนีไฟในป้าย ขนาดของป้ายสัญลักษณ์ทางหนีไฟในป้ายตามกฎหมายมีดังนี้  4. ระยะติดตั้งที่ถูกต้องตามกฎหมาย การติดตั้งป้ายสัญลักษณ์ทางหนีไฟตามกฎหมาย ต้องติดตั้งเหนือประตูหรือตามทางเดินที่ความสูง 2.0-2.7 เมตร โดยป้ายที่ติดอยู่เหนือประตูทางออก ไม่จำเป็นต้องมีลูกศรในป้ายก็ได้ แต่ถ้าเป็นบริเวณทางเดิน ป้ายสัญลักษณ์ทางหนีไฟจะต้องมีลูกศรบอกทิศทางให้ชัดเจน สรุปเกี่ยวกับป้ายสัญลักษณ์ทางหนีไฟ ป้ายทางหนีไฟ หรือ

Read More »
การตรวจสอบไฟฉุกเฉิน ต้องดูแลรักษายังไง

การตรวจสอบไฟฉุกเฉิน ต้องดูแลรักษายังไง

ตามอาคารต่าง ๆ จะต้องมีการออกแบบทางหนีไฟให้ได้มาตรฐาน และจะต้องมีการติดตั้งระบบไฟส่องสว่างให้เป็นไปตามมาตรฐานด้วยเช่นกัน เพื่อให้ผู้ที่อาศัยอยู่ภายในอาคารมองเห็นได้อย่างชัดเจน สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย นอกเหนือจากการติดตั้งให้เป็นไปตามมาตรฐานแล้ว จะต้องมีการตรวจสอบไฟฉุกเฉินเป็นประจำว่ายังสามารถใช้งานได้หรือไม่ เป็นไปตามข้อกำหนดหรือเปล่า เพื่อให้ผู้ใช้งานจะได้มีความปลอดภัย และไม่เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งการตรวจสอบนั้นจะต้องเป็นไปตามแบบตรวจไฟฉุกเฉินประจําเดือน แต่จะมีหลักการใด ๆ บ้าง ไปดูกัน ขอบเขตการตรวจสอบไฟฉุกเฉินตามมาตรฐาน วสท. หลังจากที่มีการติดตั้งระบบไฟฉุกเฉินให้เป็นไปตามมาตรฐานแล้ว หากใช้ไปนาน ๆ ระบบไฟฉุกเฉินอาจจะเกิดการเสื่อมสภาพ และชำรุด เสียหายได้ตามระยะเวลาในการใช้งาน ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องมีการตรวจสอบ และทดสอบระบบไฟฉุกเฉินเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟฟ้าแสงสว่างฉุกเฉิน ระบบไฟฟ้าป้ายทางออก และระบบโคมไฟฉุกเฉิน เพื่อไม่เกิดความเสียหายเมื่อต้องใช้งาน โดยจะต้องมีการตรวจตามระยะเวลาที่กำหนด และตรวจตามแบบตรวจไฟฉุกเฉินประจำเดือน แนวทางการตรวจสอบ การตรวจสอบระบบไฟฟ้าแสงสว่างฉุกเฉินนั้นจะต้องมีการกำหนดระเวลาในการตรวจสอบ เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย โดยสามารถกำหนดตารางในการตรวจสอบไว้ได้เลย เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งแนวทางในการตรวจสอบนั้นสามารถเลือกทำได้ 2 แบบ คือ การตรวจสอบไฟฟ้าฉุกเฉินตามวาระ ระบบไฟฟ้าฉุกเฉินเป็นหนึ่งในระบบที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะเป็นเรื่องของความปลอดภัยเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ซึ่งป้ายหนีไฟ โคมไฟฉุกเฉิน รวมทั้งระบบความสว่างทางหนีภัยนั้นเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่สามารถเกิดความเสียหายได้ ดังนั้นจึงต้องมีการกำหนดวาระในการตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นแบบตรวจไฟฉุกเฉินประจำเดือน ประจำปี หรือการตรวจสอบเมื่อมีการติดตั้งใหม่ รวมถึงเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ระบบไฟฟ้าฉุกเฉินสามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติทุก ๆ วัน ตรวจสอบติดตั้งใหม่ หรือเปลี่ยนแปลง เมื่อระบบไฟฟ้าฉุกเฉินมีการติดตั้งใหม่ หรือมีการเปลี่ยนแปลงในบางจุดจำเป็นจะต้องมีการตรวจสอบการทำงานของระบบไฟฟ้า โดยจะต้องตรวจสอบจำลองความล้มเหลวของแหล่งจ่ายไฟฟ้าปกติ และระบบไฟฟ้าฉุกเฉินจะต้องส่องสว่างในภาวะฉุกเฉินได้ไม่น้อยกว่า 120 นาที พร้อมทั้งต้องทดสอบระบบตัดไฟ การยกเลิกการทำงานของสวิตซ์ไฟอย่างได้มาตรฐานด้วย แบบตรวจไฟฉุกเฉิน ประจำเดือน สำหรับแบบตรวจไฟฉุกเฉิน ประจำเดือนนั้นจะต้องมีการตรวจเป็นประจำเดือนละ 1 ครั้ง โดยระบบไฟฟ้าแสงสว่างฉุกเฉิน และระบบไฟฟ้าป้ายทางออกฉุกเฉินจะต้องได้รับการตรวจสอบการทำงาน และทดสอบระบบว่าสามารถทํางานได้ถูกต้องในช่วงเวลาไม่น้อยกวา 30 วินาที หรือในกรณีที่ไม่สามารถจ่ายไฟได้ จะต้องมีสัญญาณแสดงความล้มเหลว เตือนให้ได้ทราบ แบบตรวจไฟฉุกเฉิน ประจำปี การทดสอบระบบไฟฟ้าฉุกเฉินประจำปีนั้น จะตรวจสอบโดยการจำลองความล้อมเหลวของแหล่งจ่ายไฟปกติ เพื่อทดสอบ และระบบไฟฟ้าฉุกเฉินต่าง ๆ จะต้องสว่างในภาวะฉุกเฉินได้ไม่น้อยกว่า 120 นาที ในกรณีที่แหล่งจ่ายไฟ ไม่สามารถจ่ายไฟได้นานถึง 120 นาทีในระหว่างที่ทำการทดสอบ ระบบจะต้องมีสัญญาณในการแจ้งเตือนความล้มเหลว สรุปบทความ ระบบไฟฟ้าแสงสว่างฉุกเฉิน และไฟฟ้าป้ายทางออกฉุกเฉิน เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยบอกทางให้สามารถหนีภัยฉุกเฉินที่เกิดขึ้นภายในอาคารได้อย่างปลอดภัย จึงจำเป็นจะต้องมีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะมีทั้งแบบตรวจสอบไฟฉุกเฉินประจำเดือน

Read More »
ความสว่างทางหนีภัยอาคารได้มาตรฐานไหม

เช็กลิสต์ ความสว่างทางหนีภัยอาคารได้มาตรฐานหรือไม่

การก่อสร้างอาคาร ไม่ว่าจะเป็นอาคารพาณิชย์ คอนโดมิเนียม โรงแรม หรือว่าห้างสรรพสินค้า นอกจากการออกแบบโครงสร้างของตัวอาคารให้มีความปลอดภัยในการใช้งานแล้ว ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินด้วย เพื่อที่จะได้มีทางหนีไฟที่สามารถใช้งานได้อย่างสะดวก ซึ่งโดยปกติแล้วตามอาคารต่าง ๆ จะต้องสร้างทางหนีไฟ รวมถึงมีทางหนีภัยให้ถูกต้องตามกฎหมายอยู่แล้ว ไปดูกันว่าทางหนีภัยนั้นจะต้องมีความสว่างระดับใด และมีข้อกำหนดใด ๆ อีกบ้างที่เป็นไปตามมาตรฐานวสท. 021004-22 รู้จักมาตรฐานระบบไฟฟ้าแสงสว่างฉุกเฉินจาก วสท. ตามกฎหมายแล้วอาคารจะต้องมีการสร้างทางหนีไฟให้ได้มาตรฐาน เพื่อรองรับการอพยพในกรณีที่เกิดภัยฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นไฟไหม้ พายุเข้า น้ำท่วม หรือเกิดเหตุวินาศกรรม เพื่อช่วยให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในอาคารนั้นสามารถรอดชีวิตได้อย่างรวดเร็ว และปลอดภัย สำหรับมาตรฐานระบบไฟฟ้าแสงสว่างฉุกเฉินนั้นจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานวสท. 021004-22 ซึ่งมีการจัดทำขึ้นโดยสถาบันวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) ซึ่งเป็นสถาบันที่จัดทำมาตรฐานระบบไฟฟ้าแสงสว่างฉุกเฉินและโคมไฟฟ้าป้ายทางออกฉุกเฉิน เพื่อให้เป็นมาตรฐานระดับประเทศ และช่วยให้มีความปลอดภัย อีกทั้งยังสามารถนำหลักนี้ไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นมาตรฐานเดียวกัน ตรวจสอบมาตรฐานความสว่างขั้นต่ำเพื่อการหนีภัยของอาคาร ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุหรือภัยฉุกเฉิน อาคารจะต้องมีระบบไฟฟ้าแสงสว่างฉุกเฉินที่คอยให้แสงสว่าง มีป้ายทางหนีไฟ และโคมไฟฉุกเฉินจะต้องมีการทำงาน เพื่อให้ผู้ที่อยู่ภายในอาคารเข้าใจว่าควรหนีออกทางใด และสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งตามมาตรฐาน วสท. 021004-22 นั้นจะต้องเป็นไปตามหลัก ดังนี้ ทางหนีภัยที่มีความกว้างไม่เกิน 2 เมตร ในกรณีที่อาคารมีทางหนีไฟที่มีความกว้างไม่เกิน 2 เมตร จะต้องมีระดับความสว่างในแนวระดับที่พื้นที่เส้นกึ่งกลางของทางหนีภัยไม่น้อยกว่า 1 ลักซ์ และบนแถบกลางทางหนีภัยที่มีความกว้างไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของเส้นกึ่งกลาง ต้องมีความส่องสว่างไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของความส่องสว่างต่ําสุดที่ออกแบบไว้บนเส้นกึ่งกลางทางหนีภัย ทางหนีภัยที่มีความกว้างเกิน 2 เมตร สำหรับอาคารที่มีการออกแบบให้ทางหนีไฟ หรือทางหนีภัยมีความกว้างเดิน 2 เมตร สามารถกำหนดความสว่างได้สองแบบ โดยสามารถเลือกใช้งานแบบใดแบบหนึ่งได้ ดังนี้ พื้นที่โล่งภายในอาคารที่ไม่มีทางหนีภัยชัดเจน ในกรณีที่พื้นที่อาคารเป็นพื้นที่โล่งกว้าง ๆ โดยไม่มีทางหนีภัยอย่างชัดเจน หรือไม่มีการติดป้ายทางหนีไฟต่าง ๆ จะต้องออกแบบให้พื้นที่มีความสว่างทั่วบริเวณ และความสว่างจะต้องไม่น้อยกว่า 0.5 ลักซ์ ยกเว้นพื้นที่บริเวณที่ห่างผนังมา 0.5 เมตร ที่สำคัญจะต้องไม่มีสิ่งกีดขวางต่าง ๆ พื้นที่งานที่มีความเสี่ยงสูง ในบริเวณที่เป็นพื้นที่ความเสี่ยงสูง จะต้องมีการออกแบบให้พื้นที่ง่ายต่อการเคลื่อนย้าย โดยจะต้องมีความส่องสว่างไม่น้อยกว่า 10% ของค่าระดับความส่องสว่างในช่วงเวลาปกติ แต่จะต้องให้ความสว่างไม่น้อยกว่า 15 ลักซ์ พื้นที่เตรียมหนีภัย, จุดรวมพล,​ปฏิบัติการดับเพลิง และห้องควบคุม ในส่วนของพื้นที่ทางหนีไฟ พื้นที่เตรียมหนีภัย จุดรวมพล

Read More »
ขั้นตอนอพยพหนีไฟในอาคาร ควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร

รวมเรื่องต้องรู้เกี่ยวกับการอพยพหนีไฟในอาคาร

“อัคคีภัย” เป็นหนึ่งในภัยที่ต้องเฝ้าระวัง และเตรียมพร้อมรับมืออยู่เสมอ เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้ขึ้นแล้ว ถ้าไม่มีมาตรการรับมือที่ดี ก็อาจสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและชีวิตได้ เพื่อให้คุณสามารถรับมือกับเหตุการณ์ไฟไหม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ Sunny Emergency Light ได้รวมเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับอพยพหนีไฟมาให้แล้ว จะต้องซ้อมปีละกี่ครั้ง? เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ควรทำอย่างไร? ขั้นตอนการอพยพหนีไฟมีอะไรบ้าง? อ่านได้เลยที่บทความนี้ ทำไมเราต้องให้ความสำคัญกับการซ้อมดับเพลิงและอพยพหนีไฟ? การเกิดเหตุไฟไหม้ถือเป็นปัญหาร้ายแรงของโรงงานอุตสาหกรรม และสำนักงานอาคารต่าง ๆ เนื่องจากตึกเหล่านี้มักมีเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้า หรืออุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ ที่ง่ายต่อการเกิดไฟไหม้ และลุกลามอย่างรวดเร็ว การซ้อมอพยพหนีไฟจึงเป็นสิ่งที่พนักงาน หรือผู้ใช้อาคารทุกคนไม่ควรเลยละเลย เพื่อที่จะได้รู้ว่า เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ต้องรับมืออย่างไร และหลบหนีไปในทิศทางใดให้รอดปลอดภัย และลดความสูญเสียให้ได้มากที่สุดนั่นเอง ควรซ้อมดับเพลิงและอพยพหนีไฟปีละกี่ครั้ง? ตามกฎกระทรวง กำหนดมาตรฐานในการบริหารจัดการและดำเนินการ ด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัย พ.ศ. 2555 ระบุไว้ว่า นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างทุกคนฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟพร้อมกันอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง แต่เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ควรจัดการอบรมดับเพลิงและซ้อมอพยพหนีไฟทุก 6 เดือน เพื่อให้พนักงานมีความคุ้นเคยกับขั้นตอนการอพยพ และเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของระบบและอุปกรณ์ดับเพลิงอย่างสม่ำเสมอ ข้อกำหนดของการอบรมดับเพลิงขั้นต้นตามกฎหมาย ตามกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัย พ.ศ. 2555 มีข้อกำหนดให้นายจ้างจัดให้มีการอบรมดับเพลิงขั้นต้นตามกฎหมายแก่ลูกจ้างตามเงื่อนไขดังนี้ ขั้นตอนการซ้อมอพยพหนีไฟให้มีประสิทธิภาพ การซ้อมอพยพหนีไฟให้มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีการวางแผนและเตรียมการอย่างเป็นระบบ โดยต้องกำหนดขั้นตอนและผู้รับผิดชอบในแต่ละส่วนให้ชัดเจน เพื่อให้การซ้อมเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ ควรทำอย่างไร? เมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ขึ้น สิ่งแรกที่ทุกคนจะต้องทำก็คือการตั้งสติ ไม่ตื่นตระหนก และประเมินสถานการณ์เบื้องต้นให้ดี หลังจากนั้นให้พิจารณาว่าควรทำอย่างไรถึงจะเหมาะสมที่สุด 9 ขั้นตอนการอพยพหนีไฟในอาคาร เพื่อให้คุณสามารถอพยพหนีไฟในอาคารได้อย่างเหมาะสม Sunny Emergency Light ได้สรุป 9 ขั้นตอนการอพยพหนีไฟในอาคารสูงฉบับเข้าใจง่ายมาให้แล้ว ตามไปดูกันเลย สิ่งที่ไม่ควรทำในขณะที่อพยพหนีไฟ สิ่งที่ไม่ควรทำในขณะที่อพยพหนีไฟ มีดังนี้ เสริมระบบความปลอดภัยในอาคารด้วยโคมไฟฉุกเฉินจาก SUNNY จะเห็นได้ว่า การติดตั้งโคมไฟฟ้าฉุกเฉินที่ได้มาตรฐาน สามารถให้แสงสว่างฉุกเฉินเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ได้ตามปกติ และติดตั้งป้ายไฟทางออกฉุกเฉินที่มีสัญลักษณ์คมชัด สังเกตเห็นได้ง่าย เพื่อนำทางให้ผู้ใช้อาคารไปยังบันไดหนีไฟ หรือทางออกฉุกเฉินโดยเร็วที่สุด เป็นส่วนหนึ่งในระบบความปลอดภัยในอาคารที่มีความสำคัญอย่างมาก และเจ้าของอาคารไม่ควรละเลย ถ้าหากคุณไม่รู้จะใช้โคมไฟฉุกเฉินยี่ห้อไหนดี เราขอแนะนำโคมไฟฉุกเฉิน รุ่น SG ของ SUNNY ที่มาพร้อมกับระบบ

Read More »
สรุปข้อกำหนดระบบความปลอดภัยในอาคารสูง แบบฉบับเข้าใจง่าย

สรุปข้อกำหนดระบบความปลอดภัยในอาคารสูง แบบฉบับเข้าใจง่าย

อาคารต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น คอนโด หอพัก หรือสถานประกอบการอย่างอาคารสำนักงาน โรงแรม โรงงานอุตสาหกรรม โรงเรียน หรือห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ล้วนเป็นสถานที่ที่มีผู้คนจำนวนมากอาศัยอยู่ การวางระบบรักษาความปลอดภัยในอาคารที่ได้มาตรฐาน เพื่อเตรียมรับมือกับภัยต่าง ๆ เช่น การโจรกรรม ภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรืออัคคีภัย จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น จะได้รับมืออย่างทันท่วงที ช่วยลดความสูญเสียต่าง ๆ ทั้งต่อทรัพย์สินและชีวิตได้ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่า อาคารที่ใช้งานอยู่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน Sunny Emergency Light จะพาไปทำความรู้จักกับระบบความปลอดภัยในอาคาร จะต้องมีข้อกำหนดหรือกฎเกณฑ์อะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลย! ทำไมต้องมีระบบความปลอดภัยในอาคาร? การวางระบบความปลอดภัยในอาคารที่ได้มาตรฐาน เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทุกอาคารต้องมี เนื่องจากเป็นข้อกำหนดทางกฎหมายในการสร้างตึกหลังหนึ่ง เพื่อที่เวลาเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่าง ๆ เช่น ไฟไหม้ หรือโจรกรรม จะได้พาผู้คนในอาคารอพยพออกมาจากอาคารได้อย่างปลอดภัย รวมถึงสามารถป้องกันเหตุ แจ้งเหตุ และระงับเหตุไม่ให้เกิดขึ้น หรือรุนแรงมากขึ้นได้นั่นเอง ระบบความปลอดภัยในอาคาร มีอะไรบ้าง? ตัวอย่างระบบความปลอดภัยในอาคาร เช่น อาคาร หรือตึกแบบไหนที่ต้องมีระบบความปลอดภัยในอาคาร อาคาร หรือตึกทุกประเภทจะต้องมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยในอาคารที่ได้มาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็น การระบายอากาศภายในอาคาร การติดตั้งโคมไฟฟ้าฉุกเฉิน สัญญาณเตือนเพลิงไหม้ ทำบันไดหนีไฟ หรือระบบไฟฟ้าสำรองภายในอาคาร เป็นต้น เนื่องจากเป็นข้อกำหนดทางกฎหมายเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับผู้ใช้อาคาร อย่างไรก็ตาม อาคารแต่ละประเภท จะมีข้อกำหนดระบบความปลอดภัยในอาคารที่แตกต่างกัน เพื่อการวางระบบรักษาความปลอดภัยในอาคารที่ได้มาตรฐาน จึงควรปรึกษาผู้ตรวจสอบอาคารก่อนทำการสร้างตึกให้ดี ซึ่งจะช่วยลดโอกาสเกิดปัญหาตามมาในภายหลังได้มาก 13 ข้อกำหนดระบบความปลอดภัยในอาคารสูง เพื่อให้คุณเห็นภาพระบบความปลอดภัยในอาคารมากขึ้น เรามีตัวอย่าง 13 ข้อกำหนดระบบความปลอดภัยในอาคารสูงมาฝาก อ้างอิงมาจากกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในอาคารสูง ได้แก่ กฎกระทรวงฉบับที่ 33 (พ.ศ.2535) ฉบับที่ 47 (พ.ศ.2540) ฉบับที่ 48 (พ.ศ.2540) และฉบับที่ 50 (พ.ศ.2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 แต่ละหัวข้อจะมีความน่าสนใจอย่างไร ไปดูกันเลย! 1. ที่ตั้งของอาคาร ที่ตั้งของอาคารสูงที่มีพื้นที่รวมกันไม่เกิน 30,000 ตารางเมตร โดยด้านหนึ่งของที่ดินจะต้องไม่น้อยกว่า 12

Read More »